เกมนี้ “ปีศาจแดง” เปิดฉากได้อย่างดุดัน และได้ประตูนำก่อนจากผลงานของ มาติอัส คุนญา ที่ปั่นโค้งสุดสวยเข้ามุมในนาทีที่ 27 จากจังหวะต่อบอลสุดเนียนระหว่าง บรูโน่ แฟร์นันเดส และ กาเซมิโร่ ซึ่งถือเป็นประตูแรกของ คุนญา หลังย้ายมาด้วยค่าตัว 62.5 ล้านปอนด์ในช่วงซัมเมอร์

ไม่นานหลังจากนั้น ยูไนเต็ด หนีห่างเป็น 2-0 จากลูกยิงของ กาเซมิโร่ ที่ได้ซัดไกลแฉลบ ยาซิน อยารี เปลี่ยนทางเข้าประตูไป โดยจังหวะนี้เริ่มจาก ลุค ชอว์ ที่ดันขึ้นมาจากตำแหน่งเซ็นเตอร์ซ้ายไปแย่งบอลจาก ยอร์จินิโอ รัทเทอร์ ได้อย่างยอดเยี่ยม

เข้าสู่ครึ่งหลัง นาทีที่ 61 ยูไนเต็ด ขยับสกอร์เป็น 3-0 เมื่อ ลุค ชอว์ ตัดบอลได้อีกครั้ง ก่อนที่ เบนจามิน เซสโก้ จะไหลให้ เอ็มเบวโม่ หลุดไปยิงลอดขา ลูอิส ดังค์ เสียบเสาเข้าไปอย่างเด็ดขาด ท่ามกลางเสียงเฮกึกก้องในโอลด์ แทรฟฟอร์ด ขณะที่ อาโมริม ฉลองด้วยท่าหมุนตัวและกำหมัดอย่างสะใจ

แต่ความสนุกยังไม่จบง่าย ๆ เมื่อช่วงท้ายเกม ยูไนเต็ด เกือบทำแต้มหล่น หลัง พาทริค ดอร์กู ไปดึง ยังคูบา มินเตห์ จนเสียฟาวล์ ก่อนที่ แดนนี่ เวลเบ็ค จะซัดฟรีคิกสุดแรงตีไข่แตก 3-1 ในนาทีที่ 83 และในช่วงทดเจ็บ เจมส์ มิลเนอร์ เปิดเตะมุมให้ ชาราลัมปอส คอสตูลา โหม่งจ่อ ๆ เข้าไปไล่มา 3-2

อย่างไรก็ตาม ยูไนเต็ด ไม่ยอมให้เหตุการณ์ซ้ำรอย และปิดเกมได้ในนาทีที่ 90+5 เมื่อ วิล อูซูลา ตัวสำรองซัดไกลให้ผู้รักษาประตู บาร์ต เวอร์บรูกเกน ปัดไม่ขาด ก่อนที่ เอ็มเบวโม่ จะซ้ำดาบสองเข้าประตูไปเป็น 4-2 ส่งแฟนบอลทั้งสนามร้องเพลง “Glory Glory Man United” กึกก้องทันที

อาโมริม กล่าวหลังเกมว่า “เรายังต้องปรับปรุงช่วงท้ายเกม แต่ผมภูมิใจกับทัศนคติของลูกทีม เราเริ่มเห็นความต่อเนื่องและความเชื่อมั่นกลับมาอีกครั้ง”

ชัยชนะนัดนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 8 เดือนที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บชัยในพรีเมียร์ลีกได้ 3 นัดติดในฤดูกาลเดียว (นับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2024) พร้อมกับตอกย้ำการเริ่มต้นยุคใหม่ของ รูเบน อาโมริม ที่กำลังพาทีมกลับสู่เส้นทางลุ้นท็อปโฟร์อย่างมั่นคง.